ดูเอาเอง อิอิอิ

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กล้วย

อาจารย์ฝรั่งของฉันชื่อ อิซาเบล เธอชอบกินกล้วยเอามากๆ ถึงขนาดเป็นโรคบานาน่าลิซึ่มเลยทีเดียว เธอจะรู้ไปหมดว่าซอกซอยไหนมีของอร่อยๆ ทำจากกล้วย เริ่มตั้งแต่กล้วยตากชนิดไม่อบน้ำผึ้ง ต้องที่ตลาด


นางเลิ้ง กล้วยแขกเจ้าอร่อยสี่แยกจักรวรรดิพงษ์ ใช้กล้วยสวนผสมแป้งข้าวเจ้า น้ำตาล งา มะพร้าว ทอดแบบสูตรพิเศษ ข้าวเกรียบกล้วยร้านแถวสะพานควาย กล้วยเคลือบช็อกโกแลต เบเกอรี่ของโรงแรมดุสิตธานีชั้น Ground กล้วยไข่เชื่อม กล้วยน้ำว้าเชื่อม(กล้วยแดง) กล้วยบวดชี กล้วยปิ้งหากินได้ง่ายๆ ตามตลาดทั่วไป

อาการลิซึ่มของเธอไม่ได้หยุดแค่นี้ แต่ลุกลามไปถึงขั้นชอบอาหารขนมกับข้าวกับปลาที่ใช้ใบตองห่อ และกระเป๋าใส่เอกสารใบสวยเก๋ที่เธอใช้ก็ทำมาจากเส้นใยกล้วยซื้อที่ อินโดฯ เธอยกกล้วยเป็นผลไม้ของผู้เรืองปัญญา (Fruit of the wise man)

ฉันเห็นด้วย เพราะปู่ย่าตายายนิยมใช้กล้วยน้ำว้าสุกเลี้ยงเด็กทารกมาตั้งแต่โบราณ โดยขูดเอาแต่เนื้อ ยีให้เละ ผสมข้าวสุกป้อนเด็กทารกอายุ 3 เดือนขึ้นไป (ถ้า อายุน้อยกว่านี้ยังไม่มีน้ำย่อยเพียงพอจะย่อยกล้วยได้) กล้วยเหมาะสมจะใช้เป็นอาหารเสริมป้อนเด็กทารกมากที่สุด เพราะมีส่วนประกอบของโปรตีนใกล้เคียงกับนมแม่ มีเกลือ แร่ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ทั้งยังมีกรดอะมิโนชนิดที่ทารกต้องการเพื่อการเจริญเติบโตอยู่มาก ที่พิเศษกว่าพืชชนิดอื่นคือ น้ำตาลในกล้วยช่วยให้แคลเซียมถูกดูดได้ง่ายและสมบูรณ์ขึ้น

กล้วยน้ำว้าสุกยังช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เพราะมีสารเพ็กติน(Pactin)เพิ่มกากให้ลำไส้ใหญ่ กระตุ้นให้ผนังลำไส้ทำงานดี ผู้สูงอายุถ้าได้กินกล้วยน้ำว้าวันละ 1 ผลกับน้ำผึ้ง ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหารเป็นปกติดี

เมืองไทยมีกล้วยอยู่หลายพันธุ์ ฉันได้รู้จักกล้วยชื่อแปลกๆ จากอาจารย์ฝรั่ง เช่น กล้วยหอมพจมาน กล้วยนมหมี (หรือกล้วยพม่าแหกคุก) กล้วยน้ำไท คล้ายๆ กล้วยหอจันทร์ แต่ลักษณะไม่โค้งงอเท่า เวลาสุกเปลือกสีเหลืองเข้มเนื้อในสีเหลืองส้ม กลิ่นหอม รสหวาน กล้วยเทพรสเป็นกล้วยที่มีลักษณะแปลกจากกล้วยพันธุ์อื่นเพราะที่เครือไม่มีปลีติดอยู่ ผลกล้วยเนื้อแน่น เปลือกหนา กล้วยเล็บช้างกุดมีอยู่ทางภาคใต้ ผลกล้วยป้อมสั้นเป็นเหลี่ยม เวลาสุกเปลือกมีสีเหลืองอ่อนคล้ายกล้วยหักมุก กล้วยร้อยหวีมีที่อินโดนีเซีย ต้นเล็กนิยมปลูกไว้ประดับบ้าน ช่อดอกเป็นเครือลักษณะคล้ายงวงยาวเกือบถึงดิน




ถ้าเปรียบเทียบอาการเห่อกล้วยของฝรั่งกับพี่ไทย ต้องยกให้พวกฝรั่งเป็นแชมป์โดยเฉพาะในยุโรปทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ พวกนี้บ้า! กินกล้วยกันมาก โดยเฉพาะกล้วยหอมจากละตินอเมริกา กล้วยหอมหวีงามๆ ที่วางขายกันในยุโรปราคาค่อนข้างแพง คนญี่ปุ่นก็ชอบกล้วยไม่แพ้ฝรั่ง ใครมีกล้วยติดบ้านให้กินทุกวันแสดงว่า บ้านนั้นฐานะดีมาก บางประเทศกินกล้วยเป็นอาหารหลัก เหมือนที่เรากินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว เช่น...ดร.Jean Carper นักโภชนาการชื่อดังได้ยืนยันประโยชน์ของกล้วยในเชิงสมุนไพรไว้ว่า กล้วยมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะได้ดี (Dyspepsia) หากกินกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ผู้ที่มีปัญหาจากกรดในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น และกล้วยยังมีฤทธิ์เหมือนยาปฏิชีวนะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ด้วย ใครที่มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ มีอาการโคกครากในท้อง ถ้าปล่อยไว้นานๆ โดยไม่หาทางแก้ไขจะกลายเป็นแผลในกระเพาะได้

อีกลักษณะคือ ปวดท้องใกล้กระบังลมบ่อยครั้ง มักจะปวดเวลาหิวมากๆ หรือปวดเมื่อกินอาหารอิ่มใหม่ เนื่องจากกระเพาะมีอาการอ่อนไหว รายงานจากแพทย์อินเดีย หมอให้ผู้ป่วยกินแคปซูลบรรจุกล้วยผงติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากอาการดังกล่าว

ผู้ที่รับประทานอาการผิดเวลาบ่อยๆ กรดในกระเพาะจะหลั่งออกมาแต่ไม่มีอาหารให้ย่อย มันก็จัดการทำร้ายผนังกระเพาะเข้าให้ นานวัน เมือก ที่คลุมปกป้องกระเพาะ ไว้จะเสื่อมสลายไปเหลือแต่ผนังกระเพาะแท้ๆ ที่ต้องผจญกับกรดเข้มข้นเมื่อโดนกรดย่อยอีกสักพักก็จะเกิดแผลเรียก Ulcer (อัลเซอร์)

โรงพยาบาลในฝรั่งเศสใช้กล้วยมาต้มเป็นโจ๊กให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะกินทุกวัน ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากโรคกระเพาะดีกว่าใช้ยารักษา

งานวิจัยในออสเตรเลียให้ สัตว์ทดลอง กินกล้วยผงเป็นประจำ ผลปรากฏคือผนังกระเพาะจะหนามากขึ้น กระเพาะทนกรดเข้มข้นได้มากกว่าปกติ ใครที่กินกล้วยเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย

ดร.Ralph Best มหาวิทยาลัยแอสตัน เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ อธิบายว่า กล้วยมีสารบางตัวช่วยกระตุ้นเซลล์ของกระเพาะอาหาร ทำให้เซลล์พวกนี้แบ่ง ตัวเติบโตได้อีกครั้ง เซลล์และเยื่อเมือกบุกระเพาะขยายมีปริมาณมากขึ้น กระเพาะแข็งแรงขึ้น แม้จะมีกรดหลั่งออกมา ผนังกระเพาะก็ไม่มีทางกระทบกระเทือน

ประโยชน์ของกล้วยยังมีอีกมากมาย ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ความดันโลหิตสูงปากขมเนื่องจากเป็นหวัด เบาหวาน ริดสีดวงทวาร ฯลฯ

อิซาเบลมักชวนใครต่อใครที่เธอรู้จักให้ กินกล้วย เป็นประจำ "กินกล้วยกันเถอะค่ะ"





กล้วยปิ้ง

กล้วยน้ำว้าดิบ หั่นขวาง เสียบไม้ ปิ้งเสี้ยงกันในงานปาร์ตี้เด็กวัยประถม จะทำกะทิรสเค็ม(น้ำตาลปีบ)ไว้จิ้มจุ่มก็เพิ่มรสชาติ


กล้วยหอมไม่เค็ม
กล้วยหอมตัดชิ้นพอคำ ไข่แดงเค็มตัดเป็นชิ้นนิดๆ วางข้างบน เสียบไม้จิ้ม กินเป็นคำๆ ในมื้อบ่าย สำหรับเด็กๆ วัยกินวัยนอน 





แพนเค้กกล้วยไข่
แป้งแพนเค้กสำเร็จรูป ผสมน้ำตามสูตรบนกล่อง บดกล้วยไข้สุกยีให้เข้ากัน จี่ในกระทะแบนทาน้ำมันให้หนูทำเองได้ สนุกดี


กล้วยหักมุกเผา
กล้วยหักดิบ จากสวน ซื้อได้ที่ตลาดแถวมหานาค บางซื่อ หรือแถวฝั่งธนนนทบุรี เผาบนเตาถ่าน ทำเองกินเอง อร่อยดีมีประโยชน์


ข้าวเม่า (กล้วยไข่)
ข้าวเหนียวข้าวเม่า บด ผัดกับมะพร้าวขูด ปรุงรสด้วยเกลือกับน้ำตาลปีบ หุ้มกล้วยไข่ห่ามๆ ทอดในน้ำมันท่วม สูตรนี้คุณแม่นำ คุณลูกตาม จะสนุกปลอดภัย



กล้วยหอมทอด

เลือกกล้วยหอมที่ยังไม่งอมมากจนเกินไป มาชุบแป้งทอดกรอบๆ กินคู่กับไอศกรีมรสที่ชอบ หรือจะราดน้ำผึ้งก็อร่อยไม่แพ้กัน







ที่มา : นิตยสาร Life & Family

หอมใหญ่

วันนี้จึงมีเมนูพิเศษสำหรับการนำหอมหัวใหญ่มาประกอบอาหารบำรุงรักษาหัวใจของท่านแบบถูกวิธีกันค่ะ


หอมใหญ่เพียงครึ่งหัว
ดร.วิคเตอร์ เกอร์วิช คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับหัวใจ และศาสตราจารย์แห่ง Harvard Medical School กล่าวว่า หัวหอมสดถือเป็นยาชั้นเลิศในการเพิ่ม HDL คอเลส เตอรอลชนิดดี หอมหัวใหญ่ครึ่งหัวหรือน้ำที่สกัดจากน้ำในหอมหัวใหญ่ปริมาณเดียวกันช่วยเพิ่ม HDL ได้ถึงร้อยละ 30 ในคนที่เป็นโรคหัวใจหรือมีปัญหาคอเลสเตอรอล

ความคิดบรรเจิดเกี่ยวกับหัวหอมนี้
คุณหมอได้จากการแพทย์แบบหมอชาวบ้าน และได้ทำการทดสอบกับคนไข้ที่คลินิก ซึ่งประสบความสำเร็จดีมาก จนคุณหมอแนะนำให้คนไข้ทั้งหมดรับประทานหัวหอม แต่ควรกินสด ๆ นะคะ เพราะหัวหอมยิ่งโดนความร้อนจากการปรุงมากเท่าไร พลังในการเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีก็ลดลงไปมากเท่านั้น แต่หัวหอมสุกก็ยังมีประโยชน์ต่อหัวใจในด้านอื่น ๆ นะคะ

คุณหมอเกอร์วิชยังไม่แน่ใจว่าสารอะไรในหัวหอมกันแน่ที่เพิ่ม HDL อาจมีสารเดียวหรือมีเป็นร้อยก็ได้ การรักษาด้วยหัวหอมของคุณหมอประสบความสำเร็จกับคนไข้ถึงร้อยละ 70 ค่ะ ถ้าคุณไม่สามารถกินหัวหอมได้ถึงครึ่งหัวต่อวัน ก็กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน กินน้อยก็ยังช่วยได้ หรือลองทำยำหรือลาบ โดยใส่หัวหอมสดซอยเยอะ ๆ ซิคะ ทั้งแซบทั้งดีกับหัวใจ


ลาบหอมหัวใหญ่ใส่เต้าหู้

ส่วนผสม
เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำและสับหยาบ ๆ 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวชนิดแข็งยีละเอียด 1 ถ้วย
หอมใหญ่ซอย 1 ถ้วย
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย
ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
ผักชีใบยาวซอย 1 ถ้วย
ใบสะระแหน่ 1 ถ้วย
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยเพื่อปรุงรส


วิธีทำ
1.นำข้าวกล้องมาคั่วไฟพอหอม แล้วใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด
2.นำเต้าหู้มายีโดยใช้ส้อม อย่าให้เละมาก ต้องยังเป็นชิ้น นำไปคั่วในกระทะ
ให้แห้ง ตักพักไว้
3.ลวกเห็ดหูหนูขาวที่หั่นแล้ว พอสุกตักใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
4.นำเต้าหู้และเห็ดหูหนูขาวมาคลุกรวมกัน ใส่หอมใหญ่และหอมแดงซอย
น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว พริกป่น ข้าวคั่ว ต้นหอมซอยและผักชี คลุกให้
เข้ากัน ชิมรสให้ถูกใจ ตักใส่จาน โรยด้วยใบสะระแหน่





ที่มา : ชลิดา เถาว์ชาลี ตันติพิภพ

น้ำเสาสวรส

เพราะการดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำทุกวันก็ยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ และรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ


"เสาวรส" หรือที่บางคนเรียกว่า กะทกรกฝรั่ง หรือจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Passion Fruit นั้น เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถวๆ ทวีปอเมริกา แต่ก็เติบโตได้ดีในประเทศไทย ผลมีลักษณะต่างกันไปตามพันธุ์ มีทั้งรูปกลม รูปไข่ แต่สำหรับเนื้อภายใน ก็มีหน้าตาคล้ายทับทิมบ้านเรานี่เอง

ชาติของเสาวรสนี้ก็ออกเปรี้ยว คนจึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ทั้งเป็นน้ำเสาวรสคั้นสด หรือเอามาผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆ อย่างน้ำส้ม สัปปะรด หรือแอปเปิ้ลก็ได้ และด้วยความเปรี้ยวนี้เองทำให้เสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินซี ใครที่เป็นหวัดเจ็บคออยู่ก็จิบน้ำเสาวรสเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ หรือใครที่ยังไม่เป็นหวัด วิตามินซีในเสาวรสก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้อีกต่างหาก และนอกจากวิตามินซีแล้ว เสาวรสก็ยังมีวิตามินเอ โดยเฉพาะสารแคโรทีนอยด์ จึงช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่งได้ด้วย


ประโยชน์ของเสาวรสยังไม่หมดแค่นั้น เพราะการดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำทุกวันก็ยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ และรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกต่างหาก ส่วนการบริโภคนั้นนอกจากจะดื่มเป็นน้ำผลไม้แล้ว ถ้าอยากจะกินผลสดๆ เลยก็สามารถทำได้เช่นกัน

เสาวรสเป็นไม้เลื้อย ที่ให้ผลมาก ในหน้าหนาว มีรสเปรี้ยวอุดมด้วย วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งทำหน้าที่ให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่สำคัญต่อร่างกาย จึงช่วยรักษาสุขภาพ และความสมดุลในระดับเซลล์ และยังให้เส้นใย ซึ่งมีผลดีต่อระบบขับถ่าย

ส่วนผสม
เสาวรส 8 ลูก
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง



วิธีทำ
1. ล้างเปลือกเสาวรสให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ใส่น้ำตาลทราย และน้ำสะอาดลงในหม้อ ตั้งไฟพอเดือด คนให้น้ำตาลละลายทั่วกัน ตั้งไฟอ่อนต่อไปอีก ประมาณ 3 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
2. ผ่าเสาวรส แล้วเทเนื้อลงเครื่องปั่น เติมเกลือป่น ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน

หมายเหตุ
เนื่องจากเสาวรสรสมีรสเปรี้ยว เวลาเสิร์ฟจึงต้อง ใส่น้ำเชื่อมลงคน ให้เข้ากัน ก่อนใส่น้ำแข็ง










ที่มา : รวบรวมหลายแหล่ง

บัวลอยน้ำขิงงาดำ

เมนูขนมร้อนๆเพื่อสุขภาพ ที่มีสารอาหารของน้ำขิงที่ช่วยขับลมเพื่อสุขภาพ และ งาดำที่ช่วยบำรุงสุขภาพเสริมแคลเซียมให้สุขภาพ วิธีการทำไม่ยากเหมาะกับสำหรับญาติผู้ใหญ่ได้รับประทานทั้งครอบครัวได้เลยค่ะ


ขนมบัวลอยน้ำขิง เป็นขนมที่มีมานานซึ่งปัจจุบันเริ่มมีขายกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น เพราะด้วยขนมที่เป็นสุขภาพ ทีน้ำขิงที่สามารถซดร้อนๆ เหมาะกับบรรยากาศหนาวๆได้ดีเลยล่ะคะ ขนมเพื่อสุขภาพที่มีสมุนไพรต่างๆนานา เหมาะกับสำหรับทำทานในครอบครัว ให้ญาติผู้ใหญ่ต้องชอบเป็นพิเศษแน่ๆ ลองมาดูวิธีการทำง่ายไม่ยุ่งยาก ช่วยกันทำทั้งครอบครัวได้กิจกรรมทำยามว่างที่ดีเลยทีเดียว มาเริ่มกันค่ะ

ส่วนประกอบ บัวลอยน้ำขิงงาดำ

แป้งข้าวเหนียว 3 ถ้วย
แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วย
น้ำสะอาด สำหรับผสมแป้ง (แม่ปันปรายใช้น้ำต้มสุก)
งาดำประมาณ 150 - 200 กรัม
น้ำตาลทรายขาวประมาณ 1 - 2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดงประมาณ 1 ถ้วย
น้ำตาลปิ๊ป 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงแก่ 1 แหง่งใหญ่
น้ำสะอาด สำหรับผสมแป้ง และ้ต้มน้ำขิง

วิธีทำ บัวลอยน้ำขิงงาดำ

เริ่มด้วยการต้มน้ำขิงก่อน แม่ปันปรายใช้ น้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร อาจจะเกินนิดหน่อย ต้มให้เดือดพร้อมกับทุบขิงแก่ลงไปด้วยเติมน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลทรายขาวลงไป แล้วรอให้เดือด ใครชอบหวานมากน้อย ก็จัดกันไปค่ะ


เมื่อต้มน้ำขิงเสร็จแล้ว ก็ให้พักไว้ก่อนคั่วงาดำ แล้วป่นให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่น หรือจะตำเอาแบบก็ได้ (สะดวกดีแต่ไม่ละเอียดมาก)
ตั้งกระทะ ใส่น้ำตาลปิ๊ปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วเติมน้ำลงไปนิดหน่อย รอให้น้ำตาลเหนียว ให้ใส่งาดำที่คั่วแล้วลงไป ใส่น้ำตาลทรายตามไปด้วยประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ (รสหวานตามชอบ)ค่อยๆคน ใช้ไฟอ่อน เห็นว่าเหนียวดีแล้วพักไว้ นำไปเข้าตู้เย็น ประมาณ ครึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้สามารถปั้นงาเป็นเม็ดกลมๆได้ง่าย



ระหว่างที่รองาดำในตู้เย็น เราก็มาเริ่มผสมแป้งกัน โดยผสมแป้งข้าวจ้าว และแป้งข้าวเหนียว เข้าด้วยกัน อัตราส่วน แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วย แล้วค่อยๆ เติมน้ำสะอาด ลงไปผสมแป้งกับน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ ขนาดประมาณ ลูกปิงปอง


หลังจากที่ปั้นงาดำเรียบร้อย ให้แผ่แป้งออก แล้วใส่งาดำลงไปตรงกลางเพื่อเป็นไส้ แล้วปั้นปิดให้สวยงาม



มาถึงขั้นตอนการลวกบัวลอย ให้ลวกบัวลอยกับน้ำเดือด รอจนแป้งลอยขึ้น แล้วตักแช่น้ำเย็นไว้


เมื่อเสร็จแล้ว นำใส่ถ้วยแล้วเติมน้ำขิงร้อนๆ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ


ลองทำกันดูค่ะ รับรองไม่ยากหรอกค่ะ ทำเองประหยัด สามารถควบคุมคุณภาพได้อีกด้วย ใครมีญาติผู้ใหญ่ก็เบาๆรสหวาน ยิ่งหน้าหนาวได้ซดน้ำขิงร้อนๆ ได้กินบัวลอยอร่อยๆ ก็สดชื่นยิ่งขึ้นค่ะ






ที่มา : ขอบคุณรูปภาพ+ บทความ pun-prai@exteen // ขอบคุณรูปภาพจาก : โชคดีติ่มซำ

ส้ม

ส้ม..เป็นผลไม้ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น อิ่มอุดมสมบูรณ์ ดังที่ชาวจีนนิยมนำไปอวยพร กันในวันปีใหม่


เราใช้คำว่า 'ส้มหล่น' เวลาที่ได้รับสิ่งดีๆ โดยที่ไม่คาดฝัน แต่ถ้าใส่คำว่า 'ส้ม' ต่อท้ายชื่ออาหารไทยเมื่อไหร่ เช่น แกงส้ม ต้มส้ม ส้มตำเป็นอันรู้ว่า อาหารชื่อนั้นมีรสเปรี้ยว ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะต้องมีส้มเป็นส่วนผสมแต่อย่างไร

ส้มเป็นพืชตระกูล Citrus ที่เจริญงอกงามในเขตร้อนชื้น สายพันธุ์ส่วนใหญ่มาจากจีน มีหลักฐานว่าปลูกกันมากว่าสี่พันปี และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ต่อมาจึงมีผู้นำพันธุ์ไปปลูกในอเมริกา (แถบฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย)

วงศาคณาญาติเขามีมากมาย แบ่งเป็น ส้มหวาน Sweet Orange (Citrus Sinensis) นัยว่าเป็นยอดนิยมในหมู่ส้มทั้งมวล ต้นกำเนิดจากจีน ใช้น้ำผสมซอส ทำสลัด ตกแต่งอาหาร Grape Fruit (ชื่อทางวิชาการ Citrus Paradisi) ขนาดผลค่อนข้างใหญ่ มีน้ำมาก ลักษณะเปลือกนอกสีเหลืองนวล ผลกลมเกลี้ยง ส่วนสีขาวที่ห่อหุ้มผลส้มภายในเปลือกค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับส้มเขียวหวาน เหมาะสำหรับคั้นผสมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยในมื้อเช้าเพื่อกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร

ส่วนส้มในบ้านเรานั้นเป็นพันธุ์ส้มเขียวหวาน ลักษะเปลือกบาง ปอกง่าย ชานนุ่ม (มีหลายเผ่าพันธุ์สีผิวต่างกันไปเช่น ส้ม Mandarin ส้มTangerine ส้ม Citrus Reticulata) แต่ก่อนบ้านเราะคุ้นเคยกับส้มเขียวหวานบางมด ปัจจุบันนี้เรามีพันธุ์ใหม่ๆ อร่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น ส้มสีทอง ส้มสายน้ำผึ้ง จากฝาง เชียงใหม่ ส้มโชกุนจากทางใต้ ส้มฟรีมองต์ ฯลฯ บางพันธุ์ เช่น (Clementine) นี่พัฒนาจนถึงได้น้ำเข้มข้น เปลือกปอกง่าย และไม่มีเมล็ด

ส้มบางพันธุ์ เช่น KumQuat ผลกลมรีสีส้มสดขนาดใหญ่กว่าหัวแม่โป้งเล็กน้อยนั้น รับประทานสดๆ ได้ทั้งเปลือก แต่นิยมเอาไปแช่อิ่ม หรือดองเค็มตากแห้ง ดังที่เราเรียกกันว่า ส้มกิมจ๊อ นอกจากนี้ยังส้มโอ ซึ่งแตกสายพันธุ์ไปได้อีกตอนหนึ่ง มะนาว มะกรูด ก็นับเป็นญาติในตระกูล Citrus ด้วยเหมือนกัน


ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ส้มผลเดียวมีวิตามินซี 69.7 ม.ก. มะนาวมี 46 ม.ก.: 1 กรัม (ใครเล่าจะกินมะนาวเข้าไปทั้งลูกเหมือนกินส้ม) สตรอเบอรี่มี 84.5 ม.ก.(นับเป็นปริมาณต่อหนึ่งถ้วยตวงหรอก) ส่วนฝรั่งลูกเดียวนั้น มีปริมาณวิตามินซีถึง 120 มิลลิกรัม (แต่ฝรั่งลูกโตกว่าส้มนี่)

  เขียนไปก็เท่านั้น มาดูกันว่ากินส้มเข้าไปแล้วดีอย่างไรดีกว่า เพราะส้มเป็นแหล่งของวิตามินซี แล้ววิตามินซีนี้มีประโยชน์มาก แล้วยังมีเกลือแร่ วิตามินอื่นที่มีคุณค่าต่อร่างกายอีกหลายชนิด วิตามินซีมีผลดีสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหวัด โรคภูมิแพ้ เป็นแผลติดเชื้อง่าย (ภาษากันเองๆ ก็คือพวกตื่นมาไม่จามก็คัดจมูกน้ำมูกไหลมีเสมหะ ให้กระแอมจนติดเป็นนิสัย เจ็บคอ เป็นแผลในปากบ่อยๆ..อย่างนี้ค่อยเห็นภาพไหม) ภาษาชาวบ้านชอบว่าอาการข้างบนว่า...น้ำเหลืองไม่ดี..

ซึ่งถ้าสังเกต จะเห็นว่าคนเครียดง่ายๆก็มักมีอาการดังนี้เสมอ ค้นไปค้นมาจึงพบว่าความเครียด..ทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินทั้งหลายแหล่ออกมาได้ไม่เต็มที่ วิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว และแอนตี้บอดี้ เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานการแพ้จากธรรมชาติและสารพิษ..

เป็นหนึ่งในวิตามินที่ต้านทานอนุมูลอิสระ สาเหตุของการเสื่อมของเซล เช่น ต้อกระจก หลอดลมอุดตัน ไขข้อ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง.. (ในวงการความงามเขาสรุปว่า แก้แก่หง่อม)

จำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื้อ กระดูก ฟัน มีส่วนในการสังเคราะห์คอลลาเจน ตัวที่ทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่นและกระชับ ป้องกันการเปราะบางของเส้นเลือดฝอย ทำให้แผลหายเร็ว ป้องกันเส้นเลือดขอด...

รักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ลดคอเลสเตอรอล เขียนเหมือนท่องจำมาอย่างนี้ดูไกลตัวพอๆ กับที่เคยท่องจำว่ารักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน..

แล้วเป็นไงเล่า เข้าทำนองไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ..พอร่องแก้มลึก ตีนกาโผล่ ปวดข้อเข่า หรือเห็นญาติผู้ใหญ่เข้าโรงพยาบาลเพราะเส้นเลือดฝอยแตก..เผอิญเป็นเส้นเลือดฝอยที่ว่านั้นมักจะเป็นตรงสมองเสียด้วยก็หลายราย ซึ่งควบคุมการทำงานทั้งหมดในร่างกายทำให้เกิดอาการอัมพฤกต์ อัมพาต ความจำเสื่อมตามมา ..

ทีนี้เรื่องฝอยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เชียวละ รีบเปิดตำราปรึกษาหมอกันวุ่น ทำไงถึงจะไม่แตกซ้ำ ทำอย่างไรถึงจะป้องกันได้ รีบออกกำลังกาย รับประทานผักผลไม้ ลดเกลือเพื่อลดความดันกันใหญ่ ..

แต่ว่าไม่รู้ว่าจะเป็นได้สักกี่น้ำ..เพราะในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมือง เรื่องกินเอาคุณค่านั้นกลายเป็นเรื่องรองลงมา ปัญหาอยู่ที่จะหาอะไรกิน จะหากินอะไรมากกว่า ประมาทพลาดเผลอไปแป๊บเดียว คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ความดัน น้ำตาล..เกิน

วิตามินเกลือแร่ธาตุเหล็ก..ขาด.. ว่าแล้วก็วิ่งไปซื้อวิตามินสำเร็จรูปมากินดีกว่า ..ก็ได้..แต่ถ้าไปซื้อในรูปแบบกรดแอสคอบิครสเปรี้ยวอมอร่อย จะมีความเป็นกรดสูงระคายกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดนิ่วทางเดินปัสสาวะ (ควรเลือกประเภทที่เขาเรียกว่าไบโอซี เพราะมีส่วนประกอบของวิตะมินซีตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่เพราะคงอยู่ในร่างกายได้ดี ไม่ถูกขับออกอย่างรวดเร็วเกินไป(เพราะถ้าร่างกายเก็บไม่ได้ภาษาจิกกะริณี หมายถึง จิ๊กกี๋หรือจิ๊กโก๋ผู้หญิง เขาว่าปัสสาวะทีก็หมดแล้ว)

แต่จะดีที่สุด ถ้ารับประทานในรูปของธรรมชาติที่มีอยู่ในผักผลไม้ (และส้ม)..สด เพราะจะได้ประโยชน์จากกากอาหารที่จะช่วยการทำงานของลำไส้ ที่สำคัญคือ ควรปรุงและรับประทานให้ถูกวิธี เพราะว่าวิตามินซีจะสูญสลายเมื่อถูกความร้อน น้ำ แสงแดด ประเภทปอกหั่น แช่น้ำตากแดดตากลม เอาไปต้มเคี่ยวนี่คงเหลือแต่กากแน่

ว่าจะเขียนเรื่องส้มแต่ไหงไปลงวิตามินซี..อย่างที่ว่าละ..พอนึกถึงส้มให้นึกไปถึงวิตามินซีทุกทีสิ...

เมนูส้ม

1.วุ้นส้ม ใช้น้ำส้มแท็งค์ทำวุ้นใสๆ แช่เย็นไว้อร่อยยามบ่าย
2.ไอศกรีมส้มแบบอิตาเลียน แช่น้ำส้มแท็งค์จนเย็นจัด แล้วใช้มือกวนปั่นในถังทำไอติมให้แข็งแต่ยัง
เป็นเกล็ด
3.แพนเค้กกลิ่นส้ม หยอดน้ำส้มแท็งค์เข้มข้นลงในแป้งแพนเค้กเล็กน้อย จะได้รสเปรี้ยวอ่อนแปลกลิ้น
4.หวานเย็นส้ม ไสน้ำแข็งแล้วราดด้วยน้ำส้มแท็งค์เข้มข้น โรยหน้าด้วยองุ่นดำ
5.ฟรุตสลัดเกล็ดส้ม ละลายน้ำส้มแท็งค์ หั่นสับปะรด แอปเปิ้ล มะละกอใส่จนเต็ม แช่เย็นเป็นเกล็ด
6.ส้มซ่า ใช้โซดาชงน้ำส้มแท็งค์
7.ส้มเปรี้ยวมะนาวหวาน ชงน้ำส้มแท็งค์ เทใส่ถาดน้ำแข็ง พอแข็งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แกะออก
ใส่ถ้วยทรงสูง เติมน้ำมะนาวชงออกรสหวานใส่ เสิร์ฟได้ตลอดวันที่ต้องการความสดชื่น




ที่มา : www.momypedia.com

ช็อกโกแลต



วันวาเลนไทน์ใกล้ถึงแล้ว คู่รักหลายๆคู่ คงเตรียมตัวหาซื้อของขวัญที่จะแอบเซอร์ไพร์ส ถ้าคิดไม่ออก เราขอเสนอ ช็อกโกแลต ค่ะ (ของขวัญสุดฮิต ดั้งเดิม) จริงๆ แล้วช็อกโกแลตไม่เพียงฮิตเฉพาะช่วงวาเลนไทน์เท่านั้นนะคะ แต่ช็อกโกแลตเป็นของอร่อยขั้นเทพ ที่คนทั่วโลกนิยมรับประทานกันเป็นประจำมานานนับศตวรรษแล้ว เมื่อก่อนช็อกโกแลตเป็นของกินแสนอร่อยที่ถูกกล่าวขานถึงในทางลบมานาน เพราะให้พลังงานสูงและเป็นส่วนหนึ่งของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ที่ทำลายสุขภาพต่าง ๆ นั่นก็เพราะส่วนผสมต่างๆ ที่อยู่ในช็อกโกแลตต่างหากที่เป็นตัวการ ได้แก่ เนย นมและน้ำตาล แต่ละตัวล้วนทำลายสุขภาพทั้งนั้นค่ะ เพราะจะทำให้เราอ้วนแน่ๆ แต่หากคุณเป็นคนรักสุขภาพ รักช็อกโกแลตชนิดที่ขาดกันไม่ได้ ก็ควรเลือกรับประทานชนิดที่มีส่วนผสมต่างๆ ดังกล่าวในปริมาณต่ำลงมา ขอแนะนำ Dark chocolate เพราะจะมีปริมาณโกโก้มากที่สุด และมีน้ำตาลน้อยกว่าปกติ

เนื่องจากข้อดีของช็อกโกแลตนั้น ก็มีอยู่ในผงโกโก้นั่นเอง เพราะผงโกโก้มีผลต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีนักวิจัยหลายสถาบันในโลกตะวันตกค้นพบว่าใน โกโก้นั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์อยู่ คือสารโปรไซยานิดินส์ (Procyanidins) เหมือนที่มีในเมล็ดองุ่นและข้าวหอมมะลิ ซึ่งสารโปรไซยานิดินส์นี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมที่มีประสิทธิภาพเหนือกกว่าวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนหลายเท่า มีคุณสมบัติสามารถช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ และสมอง บรรเทาโรคเบาหวาน ช่วยบำรุงสายตาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นเวลามองตอนกลางคืน ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ดังนั้นสารชนิดนี้ในช็อกโกแลตจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเส้นเลือกสมองได้

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่ารับประทานช็อกโกแลตแท่งไหนๆ ก็ได้รับสารตัวนี้เท่ากัน เพราะการที่จะได้รับประโยชน์จากสารโปรไซยานิดินส์นี้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกช็อกโกแลตชนิดที่มีปริมาณเปอร์เซนต์ของโกโก้ผสมอยู่แค่ไหน เพราะยิ่งมีปริมาณโกโก้สูงคุณก็จะได้รับสารโปรไซยานิดินส์มากกว่าชนิดที่ผสมผงโกโก้ปริมาณน้อยนั่นเอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือซื้อโกโก้ผงมาชงช็อโกแลตดื่มเองที่บ้านโดยลดการใส่น้ำตาลและนมให้น้อยหน่อยก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยค่ะ




ที่มา : ืgoodfoodgoodlife

พริก


พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอลจากงานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่าสารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่

กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซิน จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ





ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30522

มะระขม

มื่อพูดผักอย่าง 'มะระ' ใครๆ ที่เคยได้ลิ้มลองคงนึกถึงรสชาติของความขมได้เป็นอย่างดี แต่ในเมื่อ 'หวานเป็นลม ขมเป็นยา' ตามคำเปรียบเปรยที่คนโบราณกล่าวไว้ ...


ความขมเพียงเล็กน้อยของมะระ จึงสู้ไม่ได้กับประโยชน์ทางอาหารและสรรพคุณทางยาที่มีมากมายจนเรานึกไม่ถึง... มะระเป็นพืชล้มลุกชนิดไม้เถา จัดเป็นผักตระกูลเดียวกับ ฟัก แตงกวา บวบ ค้นพบครั้งแรกในประเทศจีน ก่อนที่แพร่ขยายไปในแถบทวีปเอเชียและอินเดีย จนกลายเป็นผักที่ใครๆ ก็รู้จักทุกวันนี้ ปัจจุบันในบ้านเรานิยมบริโภคมะระเพียงสองชนิด คือ มะระขี้นก ซึ่งมีขนาดเล็ก ผิวขรุขระ สีเขียวแก่ หัวและท้ายเรียวแหลม มีรสชาติขม และมะระจีน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ชาวจีนนำเข้ามาในประเทศไทย ลักษณะผลมีขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน น้ำหนักมาก แต่มีความขมน้อยกว่า มะระทำไมขม เหตุที่มะระมีรสขม เพราะในมะระมีสารเคมีชนิดหนึ่งชื่อ Momodicine ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้อยากอาหาร ขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งรสขมที่แฝงอยู่ในผลมะระยังมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเรื่องท้องผูกเป็นประจำ จึงสมควรที่จะนำมะระมาปรุงอาหารกินบ่อยๆ ซึ่งทั้งมะระจีนและมะระขี้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมายหลายชนิด เช่น มะระต้มจืด แกงจืดมะระยัดไส้ มะระผัด ยำมะระสด หรือลวกจิ้มน้ำพริก แถมราคาก็ไม่แพงมาก ตามท้องตลาดโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 10-30 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในช่วงๆ นั้น สำหรับหารลดความขมของมะระเพื่อนำมาประกอบอาหารนั้น มีเคล็ดลับว่าก่อนให้นำมะระที่หั่นหรือซอยแล้ว นำไปคลุกกับเกลือทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือ เวลาต้มมะระยัดไส้ ให้เปิดฝาหม้อไว้จนเดือด จะช่วยลดความขมของมะระได้ หวานเป็นลม ขมเป็นยาจริงๆ แม้มะระจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องความขมจนติดลิ้น แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการ เพราะในมะระมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกระดูกและฟัน ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีฟอสฟอรัสซึ่งทำงาน ซึ่งทำงานสัมพันธ์กับแคลเซียมในการบำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง กล้ามเนื้อ วิตามินซีที่ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งยังมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันโลกและปกป้องเซลล์จากการทำลายของสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้นส่วนๆ ของต้นมะระยังเป็นพืชผักสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาอีกหลายประการ เช่น ใบสดใช้ต้มดื่มเพื่อบรรเทาอาการหวัด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ ลดการบวมหรือฟกช้ำตามร่างกาย และสามารถใช้ทาแก้อาหารผื่นคันได้ด้วย ส่วนผลมะระเมื่อสุก คั้นเอาแต่น้ำ ใช้ทาหน้าเพื่อแก้อาการสิวอักเสบ ผลดิบ ลวกกินกับน้ำพริก แก้อาการปวดเข่าในผู้สูงอายุ หรือแม้แต่เมล็ดมะระก็มีคุณสมบัติในการปรับธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุล รากสดของมะระใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข้ และบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวารได้ด้วย ถึงมะระจะมีรสชาติค่อนข้างขม แต่มะระก็ได้รับความนิยมจากคนรักสุขภาพนำผลสดๆ มาคั้นเป็นน้ำดื่ม เพราะน้ำที่ได้จากผลมะระมีสรรพคุณในการช่วยฟอกเลือดและกระตุ้นการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือดและเพิ่มอินซู ลินตามธรรมชาติให้กับร่างกาย เหตุนี้น้ำมะระจึงเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง ในการเลือกซื้อมะระมาทำอาหารแต่ละครั้งนั้น ถ้าไม่อยากได้มะระแก่ไปทำอาหาร ควรสังเกตที่หนามของมะระถ้าหนามมีลักษณะแข็ง แสดงว่ามะระนั้นแก่เต็มที่ ไม่ควรซื้อเพราะจะมีรสขมมาก แต่ถ้าหนามมีลักษณะอ่อนนิ่ม แสดงว่าเป็นมะระอายุน้อยและไม่ขม สามารถนำมาประกอบอาหารได้ Tip ตกขาวมะระช่วยได้ นำมะระขี้นกแก่ประมาณ 10 ลูก ล้างให้สะอาด โขลกทั้งเม็ดให้ละเอียด ใช้ผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำ ผสมเหล้าขาว 3 ช้อนชา รับประทานวันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 1 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้น 





ที่มา : MOMY PEDIA

มะม่วง น้ำปลาหวาน

วันนี้เรามีสูตรมะม่วง - น้ำปลาหวาน ที่สามารถทำเองได้จากที่บ้าน ผลไม้ของโปรดของคุณผู้หญิงหลายๆคนที่ชอบทานมะม่วงเปรี้ยว

วันนี้เอาใจของว่างสุดโปรดของคุณสาวๆ โดยเฉพาะที่หาทานผลไม้ เพื่อหลีกเลี่ยงขนมหวาน ของเปรี้ยวนี่แหละคะ ช่วยให้ไม่ยากอาหารได้ วันนี้เราเอาสูตรการทำ มะม่วง น้ำปลาหงานมาฝาก เพราะทำเองได้ง่ายๆ สามารถทำเก็บไว้ในตู้เย็นได้อีก เวลาเหงาปากก็ปอกมะม่วงมาจิ้มได้เลยล่ะ ได้สุขภาพไม่อ้วน แต่อยากทานมากไปนะคะเพราะมีน้ำตาลทำให้คุรผู้หญิงอ้วนได้ไม่รู้ตัวเหมือนกันนะ ว่างแล้วก็อย่ารอช้าไป เพราะน้ำลายสอกันแล้วล่ะซิ วันนี้เอาอนุญาติจากห้องครัว แม่สลิ่ม เอาสูตรมาฝากเพื่อนๆ108Health กันค่ะ



อุปกรณ์-เตรียมของ

น้ำตาลปีบอย่างดี 200 กรัม (2 ขีด)
กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา หรือมากน้อยตามชอบ ถ้าไม่ชอบไม่ต้องใส่
น้ำปลาอย่างดี 3-4 ช้อนโต๊ะ อาจมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นกับความเค็มของกุ้งแห้งด้วยค่ะ
กุ้งแห้งป่นหยาบ 1/4 ถ้วย
กุ้งแห้งป่นละเอียด 1/4 ถ้วย
หัวหอมแดง 5 หัว
พริกขี้หนูสวน มากน้อยตามชอบ




ขั้นตอนการทำ
ปอกเปลือกหัวหอมแดง ล้างน้ำ พักให้สะเด็ดน้ำ แล้วซอยบาง ๆ ตามยาว พักไว้
พริกขี้หนูสวน ล้างน้ำ พักให้สะเด็ดน้ำ ซอยบาง ๆ พักไว้ แม่หลิ่มใส่แค่ 5-6 เม็ดเองนะคะ ไม่ได้ใส่หมด ขึ้นกับความชอบค่ะ แต่โดยรสชาติน้ำปลาหวานแล้วเค้าไม่ได้เผ็ดนำค่ะ
ชิมรสชาติกุ้งแห้งไว้เป็นแนวทางว่าออกเค็มน้อยหรือเค็มมากแค่ไหน
นำกุ้งแห้งตัว ๆ ไม่ติดเปลือกใส่โถปั่นแห้ง ปั่นพอหยาบแล้วเก็บไว้ 1/4 ถ้วย
ปั่นกุ้งแห้งที่เหลือให้ละเอียดกว่าส่วนแรกให้ได้ 1/4 ถ้วย พักไว้
นำน้ำตาลปีบ กะปิ น้ำปลา ใส่หม้อใบย่อม ๆ อาจจะใส่น้ำไปสัก 1-2 ช้อนโต๊ะเพื่อช่วยให้น้ำตาลปีบละลายง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำเยอะมากเพราะสุดท้ายเราก็ต้องเคี่ยวให้ข้นเล็กน้อย ใส่น้ำมากจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแก๊สโดยใช่เหตุค่ะ
ใช้ทัพพีบี้ให้กะปิและน้ำตาลปีบกระจายตัวและเข้ากันดี
นำหม้อขึ้นตั้งไฟกลางมาทางอ่อนสักพักให้น้ำตาลละลายให้หมด น้ำตาลจะเหลวขึ้น
ลดไฟลงเคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆ ใช้ทัพพีคนเป็นระยะช่วยได้ ระวังอย่าให้ไฟแรงไปจะล้นและไหม้ได้ง่าย ๆ ค่ะ
เคี่ยวให้เดือดสักพักและให้ได้ความข้นประมาณนมข้นหวาน ลองชิมรสชาติดู อย่าให้เค็มนำเพราะกุ้งแห้งมีความเค็มอีก
ใส่กุ้งแห้งป่น หัวหอมซอย พริกขี้หนูซอย คนพอทั่ว
เคี่ยวต่อ น้ำปลาหวานจะใสขึ้นเล็กน้อยเพราะน้ำออกจากหัวหอม ชิมรสชาติดู ถ้าอ่อนเค็มเติมน้ำปลา ถ้าเค็มเกินไปเติมน้ำตาลปีบ
เคี่ยวให้ข้นเล็กน้อย ปิดเตา น้ำปลาหวานจะมีฟอง ต้องตั้งทิ้งไว้สักพักฟองจะหายไป
ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอยและพริกขี้หนูซอยเล็กน้อยก่อนเสิร์ฟกับมะม่วงเปรี้ยว ๆ หรือแอปเปิ้ลเขียวค่ะ
































ที่มา : www.maesalim.com

ข้าวอบเผือก

ข้าวเป็นอาหารหลักที่เราขาดไม่ได้ เราคุ้นเคยกับการกิน "ข้าว" มาตั้งแต่เด็ก วันนี้เรามีเมนูที่ทำจากข้าว ที่ทำให้ท่านไม่เบื่อกับการทานข้าวมากฝากกันค่ะ


ส่วนผสม

ข้าวสารหอมมะลิ 2 ถ้วยตวง
เผือกหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 1½ ถ้วยตวง
หมูสามชั้นหั่นชิ้นพอคำ 100 กรัม
แปะก๊วย ¼ ถ้วยตวง
กุนเชียงหั่นแฉลบทอด 1 แท่ง
เห็ดหอมแห้งแช่น้ำพอนิ่ม 5 ดอก
ไข่แดงของไข่เค็ม 5 ฟอง
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2½ ถ้วยตวง
ผักชีสำหรับตกแต่ง, กระบอกไม้ไผ่สำหรับอบ




วิธีทำ
ชาวข้าวสารหอมมะลิให้สะอาด ใส่กระชอนพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่เผือกลงผัดพอผิวตึงตักขึ้น ใส่หมูสามชั้นผัดต่อพอเนื้อหมูสะดุ้ง
ใส่ข้าว เห็ดหอม กุนเชียง แปะก๊วย และเผือก ผัดให้ทั่ว ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำตาลทราย ผัดให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะสำหรับนึ่ง
เติมน้ำเปล่าและไข่แดงนำขึ้นนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 20-30 นาที หรือจนสุก ยกลงตักใส่กระบอกไม้ไผ่ นำไปนึ่งต่อเพื่อให้มีกลิ่นหอมประมาณ 5 นาที ยกลง ตกแต่งด้วยผักชี จัดเสิร์ฟ







ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน

ต้มแซ่บ กระดูกหมู

วันนี้อีกหนึ่งเมนูอาหารไทยต้มแซ่บที่ถูกปากใครหลายๆ คนโดยเฉพาะคุณสาวๆ ด้วยอาจจะเรียกได้ว่าเมนูต้มแซ่บกระดูกหมูนี้มาเป็นอันดับ 2 ต่อจากเหล่าส้มตำและลาบต่างๆ เลยก็ว่าได้ค่ะ


เวลาที่คุณไปรับประทานอาหารจำพวก ส้มตำ ลาบ น้ำตก สิ่งที่จะขาดไม่ได้อีกอย่างเลยก็คือ ต้มแซ่บ เนี่ยแหละค่ะ เพราะ ต้มแซ่บ ก็จัดเป็นอีกหนึ่งในอาหารไทย 4 ภาค หรือก็คืออาหารอีสานนั่นเองค่ะ เอาล่ะค่ะคุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้านที่กำลังคิดจะทำเมนูสูตรต้มแซ่บนี้อยู่ก็มาทางนี้เลยนะค่ะ เพราะว่าวันนี้เรามีสูตรและวิธีทำต้มแซ่บมาฝาก แต่เป็นวิธีทำต้มแซ่บกระดูกหมูนะค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มลงมือทำ ต้มแซ่บกระดูกหมู กันเลยค่ะ

เครื่องปรุงรส ต้มแซ่บ กระดูกหมู
กระดูกหมู 1/2 กก. หรือ 500 กรัม
ข่า 1 แง้ง
ตะใคร้ 2 ต้น
ใบมะกรูด 5 ใบ
พริกขี้หนูสวน 10 เม็ด
หัวหอมใหญ่ 1/2 ลูก
ผักชี 1 ต้น
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
พริกบ่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำเปล่า 1 ลิตร


วิธีทำและขั้นตอน ต้มแซ่บ กระดูกหมู

- ขั้นตอนแรก นำข่า 1 แง้งมาหั่นให้เป็นแว่นๆ สักประมาณ 5-7 แว่น ตะใคร้หั่นเฉียงประมาณ 1 นิ้ว ใบมะกรูดฉีกครึ่ง พริกขี้หนูสวนทุบพอหยาบ หัวหอมใหญ่ครึ่งลูกหั่นครึ่ง ผักชีหั่นหยาบไว้โรยหน้า (อย่าลืมล้างผักด้วยนะค่ะ)

- ขั้นตอนที่สอง น้ำหม้อใส่น้ำ 1 ลิตรตั้งไฟแรงให้น้ำเดือดพอเดือดแล้วให้ค่อยๆ ใส่ซีกโครงหมูและเกลือบ่น 1 ช้อนชาลงไปคนและเคี่ยว 30-45 นาที หรือจนหมูสุก พอได้เวลาตามที่กำหนดก็นำ หัวหอมใหญ่ ข่า ตะใคร้ ใบมะกรูดที่เตรียมไว้มาใส่เคี่ยวต่ออีก 10 นาที พอครบเวลากแล้วให้เอาพริกขี้หนูทุบหยาบๆ ใส่ลงไปทันทีคน 1 รอบแล้วปิดไฟ จากนั้นปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำมะนาว พริกบ่น ข้าวคั่ว จากนั้นคนให้เข้ากันยกลงเทใสชามได้เลยค่ะ เป็นอันว่าเมนูสูตรวิธีทำและขั้นตอนต้มแซ่บกระดูกหมูเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ






ที่มา : Merlaya

ปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊ว...เมนูเพื่อสุขภาพ

ใครชอบปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊วบ้างต้องมาทางนี้เลยค่ะ เพราะว่าวันนี้เรามีสูตรวิธีทําปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊วมาฝากกันค่ะ และที่สำคัญสูตรเด็ดของ ปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊ว วิธีทําที่ง่ายๆ แล้วเมนูนี้ยังได้คุณค่าทางด้านสุขภาพดีอีกด้วย


เครื่องปรุงรส ปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊ว

- ปลาทับทิม 1 ตัว หนักประมาณ 500 กรัม หรือ 1/2 กก. วิธีล้างปลาไม่ให้คาว คลิ๊ก
- เนื้อหมูสับ 1 ขีด
- ขิงหั่นซอยเป็นเส้น 1/2 ขีด
- ผักขึ้นฉ่าย 1 ต้น
- พริกชี้ฟ้าใหญ่ 1 เม็ด
- กระเทียมโทน 3 ลูก
- รากผักชี 1 ต้น
- เม็ดพริกไทยแห้ง 10 เม็ด
- ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสน้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำและขั้นตอน

ขั้นตอนแรก ให้ล้างปลาให้สะอาด พักปลาไว้ก่อน
เริ่มต้นด้วยอันดับแรกเราต้องหมักหมูสับกันก่อนค่ะ โดยการเริ่มจากนำรากผักชี 1 ต้น มาหั่นฝอยและเม็ดพริกไทยแห้ง 10 เม็ด นำทั้งสองอย่างลงไปโคกหรือตำจนละเอีดด จากนั้นนำเนื้อหมูสับ 1 ขีด เทใส่ลงในภาชนะที่คุณจะใช้หมักเนื้อหมูจากนั้นเทขิงหั่นซอยเป็นเส้นครึ่งขีดแบ่งเป็น 3/4 ส่วน นำ 3 ส่วนเทใส่ตามและเหลือ 1 ส่วนไว้โรยหน้าหลังนึ่งปลาเสร็จแล้วจากนั้นใส่ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส ซอสน้ำมันหอย และรากผักชีที่หั่นรวมกับพริกไทยแห้งใส่ลงไปคลุกเค้าให้เข้ากันจากนั้นพักไว้ก่อนประมาณ 10 นาทีหั่นกระทียมโทนที่เตรียมไว้เป็นแว่นให้ได้ซัก 9 แว่น และหั่นผักขึ้นฉ่าย 1 ต้น ประมาณ 1 นิ้ว ให้เหลือส่วนยอดของผักขึ้นฉ่ายไว้โรยหน้าค่ะ และหั่นพริกชี้ฟ้าเป็นสี่ส่วนนำเนื้อหมูที่หมักไว้แล้วแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งยัดลงไปในท้องปลาอีกส่วนหนึ่งโปะไว้บนตัวปลาเกลี่ยให้ทั่วยกเว้นส่วนหัวและส่วนหาง นำปลาทับทิมที่ยัดไส้วางใส่จานหรือภาชนะที่จะใช้นึ่ง
จากนั้นวางนำกระเทียมโทนที่หั่นเป็นแว่นๆ วางลงบนตัวปลาและผักขึ้นก็วางไว้บนตัวปลาและรอบๆ เติมสีสันอีกนิดด้วยการนำพริกชี้ฟ้าใหญ่มาวางไว้ด้านข้างตัวปลา
เมื่อเสร็จแล้วให้นำปลาทับทิมไปนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 20 จากนั้นให้เปลี่ยนเป็นไฟปานกลางนึ่งต่ออีกประมาณ 20-25 นาที ดูว่าสุกแล้วหรือยังถ้าสุกแล้วก็ยกลงมาตกแต่งด้วยขิงสด 1 ส่วนที่เตรียมไว้และยอดผักขึ้นฉ่ายที่เตรียมไว้โรยบนตัวปลาเป็นอันว่า สูตรปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊ว เป็นอันเรียบร้อยค่ะ








ที่มา : แม่บ้าน   http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=1932&sub_id=18&ref_main_id=4

ของว่างสุขภาพ ไก่พันสาหร่าย

            วันนี้เรากลับมาพบกันกับเมนูสาหร่าย อีกแล้ว เพราะมีเสียงเรียกร้องสำหรับคุณแม่บ้านที่มีน้องๆหนู ไม่ชอบกินข้าว กินขนมเล่น วันนี้เราขอเสนอเมนูอาหารว่าง ที่ทำได้ง่ายๆ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน กับเมนูเพื่อสุขภาพ "ไก่พันสาหร่าย" ที่ได้โปรตีนจากเนื้อไก่ และได้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างสาหร่าย เราลองมาดูเครื่องปรุงและวิธีการทำได้เลยค่ะ





เครื่องปรุงไก่พันสาหร่าย

1 เนื้อไก่ หั่นชิ้นพอคำ
2 น้ำมันหอย
3 โชวยุ
4 สาเก
5 มิริน


วิธีทำ

ก็เริ่มจากนำไก่มาหมักด้วยเครื่องปรุงต่างๆ เลือกชิ้นไก่ที่มีหนังไก่ อีกหน่อย จะทำให้ดูเนื้อไก่ชุ่ม ไม่แห้งจนเกินไป  นำไก่ผสมกับโชวยุ สาเก มิริน น้ำมันหอย หมักทิ้งไว้ หลังจากนั้นก็นำโนริ มาพันรอบชิ้นไก่ 

แล้วก็นำไก่ทั้งหมดที่ทำไว้ ไปทอดเมื่อไก่สุกก็ตักขึ้นมาพักไว้ให้เสด็ดน้ำมัน แล้วจัดใส่จานเสริฟ ได้เลยค่ะ








ที่มา :  http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2005&sub_id=18&ref_main_id=4

น้ำพริกเผากากหมูไข่เค็ม



         เมนูอาหารเพิ่มความสุขในการกินข้าว และเพิ่มรสชาติให้กินผักสดๆได้อีกเยอะเพื่อสุขภาพ ก็คือเมนูน้ำพริก วันนี้ลองมาทำน้ำพริกสไตล์ใหม่ที่มีความมันหวานเค็ม เพิ่มความกรุบกรอบด้วยกากหมู กับเมนูน้ำพริกเผากากหมูไข่เค็ม น่ากินไหมล่ะคะ มาลงมือทำกันเลยค่ะ

           เมนูอาหารที่ชื่นชอบสำหรับแม่ครัว 108Health อย่างหนึ่งที่ต้องกระโดดเข้าใจทุกครั้งก็คือ เมนูน้ำหริก ที่รสชาติจัดจ้าน กินกับข้าวสวยร้อนๆล่ะก็ เพิ่มผักสด ผักต้มเพื่อสุขภาพกันซักหน่อย อร่อยถูกใจกันทั้งบ้านเลยค่ะ วันนี้เราจะมาทำน้ำพริกธรรมดาก็น่าเบื่อเกินไป หลังจากที่คุณแม่บ้านมีการตุนอาหาร(น้ำท่วม) จะเหลือพวกของแห้งเป็นจำนวนมากใช่ไหมค่ะ อย่างเช่น ไข่เค็ม น้ำพริกเผา หรือพวกกากหมู ก็จับมาทำ "น้ำพริกเผากากหมูไข่เค็ม" หลังจากลองทำแล้วรสชาติจะเหมือนน้ำำพริกเผา แต่จะมีความมันของไข่เค็ม และอร่อยตรง ได้เคี้ยว กากหมูกรอบๆ เพิ่มความอร่อย กินกับข้าวสวยร้อนๆ แกล้มกับผักสด อร่อยและได้สุขภาพ มากๆค่ะ ว่าแล้วก็ มาเตรียมของทำ"น้ำพริกเผากากหมูไข่เค็ม"


เตรียมอุปกรณ์ เครื่องปรุง "น้ำพริกเผากากหมูไข่เค็ม"

1 กากหมูเจียว
2 ไข่เค็ม
3 น้ำพริกเผา
4 กระเทียม
5 หอมแดง
6 ใบมะกรูดซอย
7 มะเขือเทศ
8 น้ำมะนาว

ขั้นตอนการทำ "น้ำพริกเผากากหมูไข่เค็ม"

เริ่มจากคั่วกระเทียม หอมแดง และมะเขือเทศก่อน คั่วในกระทะ ไม่ต้องใส่น้ำมันนะคะ คั่วจนผักเริ่มหอม
ใส่พริกเผาลงไปผัดค่ะ เติมน้ำลงไปหน่อย พอคลุกขลิก 
ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาลทรายค่ะ
ชิมรสได้ตามชอบแล้ว ใส่ใบมะกรูด กากหมู ไข่เค็ม ผัดให้เข้ากันปิดไฟได้เลยค่ะ
น้ำพริกเผากากหมูไข่เค็มเสร็จแล้วค่ะ
แนมน้ำพริกด้วยผักสด ผัดต้ม ตามชอบเลยคะ







 












ที่มา : Pantip ห้องก้นครัว by บูตะ กะ กิมจิ

สลัดทอดกรอบ





เมนูประยุกต์ง่ายๆที่ทำไม่ยาก และได้ความอร่อยของสลัดและเปลือกนอกที่กรุบกรอบ เมนูนี้ประยุกต์จากการนำสลัดผลไม้รวม หรือสลัดผักตามแต่ชอบมาคลุกน้ำสลัด แล้วห่อด้วยแป้งปอเปี๊ยะ หรือแผ่นขนมปังแล้วชุบเกร็ดขนมปังทอดกรอบอีกที เป็นอาหารจานง่ายๆ อีกหนึ่งจานที่ทำไม่ยากและรสชาติอร่อยด้วย..


วัตถุดิบสลัดทอด

1. ผักรวม (แครอท ถั่วลันเตา ข้าวโพด) หรือ สลัดผลไม้ 1 ถ้วย
2. แฮม (สับ) 1/2 ถ้วย
3. น้ำสลัดครีม 1/2 ถ้วย
4. ขนมปังแผ่น (ตัดขอบ) 6-8 แผ่น
5. แป้งเกร็ดขนมปัง 2 ถ้วย
6. ไข่ไก่ 1-2 ฟอง
7. ผักเคียงตามชอบ 

วิธีทำสลัดทอด

1. ตัดขอบแผ่นขนมปัง ใช้ที่คลึงแป้งรีดให้แบนเรียบ
2. อ่างใส่ผักรวม แฮม น้ำสลัดครีม คลุกให้เข้ากัน วางบนแผ่นขนมปัง ที่รองด้วยฟิล์มถนอมอาหาร (ใช้เป็นตัวช่วยห่อ) ห่อให้เป็นก้อนกลม นำไปแช่เย็นไว้ 20 – 30 นาที พอให้ขนมปังอยู่ตัว นำไปชุบไข่ แล้วใส่ลงคลุกกับเกล็ดขนมปังป่น (หยอดน้ำให้ชื้นเล็กน้อย) 
3. ทอดให้เหลืองกรอบ ใช้ไฟกลางถึงแรง ตักสะเด็ดน้ำมัน เสริฟ์พร้อมกับผักเคียงตามใจชอบ







ที่มา : www.foodtravel.tv

สารอาหารใน"น้ำพริก"



พริก
คือ ส่วนประกอบที่สำคัญในการทำน้ำพริก พริกทุกชนิดมีสารแคปไซซิน ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความชรา และยังมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูง ต้านอนุมูลอิสระ


หอมแดง กระเทียม
จะมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีโปรเตสเซียมเยอะ ทางการแพทย์ระบุว่ามีคุณสมบัติช่วยให้เซลล์แข็งแรง และยังจะได้น้ำมันจากกระเทียมซึ่งเป็นสารแอนตี้เซปติก ช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดไขมันในเส้นเลือด

ส่วนกุ้งแห้ง
จะมีแคลเซียมสูง ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง

มะเขือพวง
จะมีเส้นใยสูง ป้องกันท้องผูก และยังมี ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ส่วนประกอบของพริกแกงมีสารต้านมะเร็ง ส่วนขมิ้นมีสารเคอมิวมิน กรดเฟอลิกฟลาโรวอยด์ เป็นสารต้านมะเร็ง

และที่ขาดไม่ได้ คือ กะปิ
มีวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือด และแคลเซียมสูงกว่านมวัว 15 เท่า (น้ำพริก 1 ถ้วย ใช้กะปิ 20-30 กรัม ให้แคลเซียม 500 ม.ก.) นอกจากนี้ กะปิยังให้โซเดียมโปรเตสเซียมและไอโอดีน

นอกเหนือจากคุณค่าทางอาหาร ที่ได้รับจากส่วนประกอบของน้ำพริกแล้ว ยังจะได้วิตามินและเกลือแร่จากผักต่างๆ ที่นำมาต้มทานแกล้มน้ำพริกอีกด้วยค่ะ

อย่าลืมหันมาทานน้ำพริกกัน แล้วจะได้สารอาหารมากกว่าที่คิดค่ะ







ที่มา : www.teenee.com   http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2125&sub_id=18&ref_main_id=4


ส้มตำ












ส้มตำเป็นอาหารยอดนิยมประเภทหนึ่ง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีรสชาติอร่อยและถูกปากคนไทยหลายๆ คน ทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่จะมีใครรู้บ้างว่านอกจากความอร่อยแล้ว ส้มตำมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือไม่


ส้มตำนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา คุณค่าจากพืชสมุนไพรที่เป็นองค์ประกอบในส้มตำ อาทิ

มะละกอ เป็นยาบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง

มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว

มะกอกรสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติแก้บิด แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ

พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย

กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย
และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด

มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต

ผักแกล้มต่างๆ ได้แก่ ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะเพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน

กะหล่ำปลีรสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ









อ้างอิงจาก  http://www.108health.com/108health/category.php?sub_id=18&ref_main_id=4