ดูเอาเอง อิอิอิ

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กล้วย

อาจารย์ฝรั่งของฉันชื่อ อิซาเบล เธอชอบกินกล้วยเอามากๆ ถึงขนาดเป็นโรคบานาน่าลิซึ่มเลยทีเดียว เธอจะรู้ไปหมดว่าซอกซอยไหนมีของอร่อยๆ ทำจากกล้วย เริ่มตั้งแต่กล้วยตากชนิดไม่อบน้ำผึ้ง ต้องที่ตลาด


นางเลิ้ง กล้วยแขกเจ้าอร่อยสี่แยกจักรวรรดิพงษ์ ใช้กล้วยสวนผสมแป้งข้าวเจ้า น้ำตาล งา มะพร้าว ทอดแบบสูตรพิเศษ ข้าวเกรียบกล้วยร้านแถวสะพานควาย กล้วยเคลือบช็อกโกแลต เบเกอรี่ของโรงแรมดุสิตธานีชั้น Ground กล้วยไข่เชื่อม กล้วยน้ำว้าเชื่อม(กล้วยแดง) กล้วยบวดชี กล้วยปิ้งหากินได้ง่ายๆ ตามตลาดทั่วไป

อาการลิซึ่มของเธอไม่ได้หยุดแค่นี้ แต่ลุกลามไปถึงขั้นชอบอาหารขนมกับข้าวกับปลาที่ใช้ใบตองห่อ และกระเป๋าใส่เอกสารใบสวยเก๋ที่เธอใช้ก็ทำมาจากเส้นใยกล้วยซื้อที่ อินโดฯ เธอยกกล้วยเป็นผลไม้ของผู้เรืองปัญญา (Fruit of the wise man)

ฉันเห็นด้วย เพราะปู่ย่าตายายนิยมใช้กล้วยน้ำว้าสุกเลี้ยงเด็กทารกมาตั้งแต่โบราณ โดยขูดเอาแต่เนื้อ ยีให้เละ ผสมข้าวสุกป้อนเด็กทารกอายุ 3 เดือนขึ้นไป (ถ้า อายุน้อยกว่านี้ยังไม่มีน้ำย่อยเพียงพอจะย่อยกล้วยได้) กล้วยเหมาะสมจะใช้เป็นอาหารเสริมป้อนเด็กทารกมากที่สุด เพราะมีส่วนประกอบของโปรตีนใกล้เคียงกับนมแม่ มีเกลือ แร่ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ทั้งยังมีกรดอะมิโนชนิดที่ทารกต้องการเพื่อการเจริญเติบโตอยู่มาก ที่พิเศษกว่าพืชชนิดอื่นคือ น้ำตาลในกล้วยช่วยให้แคลเซียมถูกดูดได้ง่ายและสมบูรณ์ขึ้น

กล้วยน้ำว้าสุกยังช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เพราะมีสารเพ็กติน(Pactin)เพิ่มกากให้ลำไส้ใหญ่ กระตุ้นให้ผนังลำไส้ทำงานดี ผู้สูงอายุถ้าได้กินกล้วยน้ำว้าวันละ 1 ผลกับน้ำผึ้ง ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหารเป็นปกติดี

เมืองไทยมีกล้วยอยู่หลายพันธุ์ ฉันได้รู้จักกล้วยชื่อแปลกๆ จากอาจารย์ฝรั่ง เช่น กล้วยหอมพจมาน กล้วยนมหมี (หรือกล้วยพม่าแหกคุก) กล้วยน้ำไท คล้ายๆ กล้วยหอจันทร์ แต่ลักษณะไม่โค้งงอเท่า เวลาสุกเปลือกสีเหลืองเข้มเนื้อในสีเหลืองส้ม กลิ่นหอม รสหวาน กล้วยเทพรสเป็นกล้วยที่มีลักษณะแปลกจากกล้วยพันธุ์อื่นเพราะที่เครือไม่มีปลีติดอยู่ ผลกล้วยเนื้อแน่น เปลือกหนา กล้วยเล็บช้างกุดมีอยู่ทางภาคใต้ ผลกล้วยป้อมสั้นเป็นเหลี่ยม เวลาสุกเปลือกมีสีเหลืองอ่อนคล้ายกล้วยหักมุก กล้วยร้อยหวีมีที่อินโดนีเซีย ต้นเล็กนิยมปลูกไว้ประดับบ้าน ช่อดอกเป็นเครือลักษณะคล้ายงวงยาวเกือบถึงดิน




ถ้าเปรียบเทียบอาการเห่อกล้วยของฝรั่งกับพี่ไทย ต้องยกให้พวกฝรั่งเป็นแชมป์โดยเฉพาะในยุโรปทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ พวกนี้บ้า! กินกล้วยกันมาก โดยเฉพาะกล้วยหอมจากละตินอเมริกา กล้วยหอมหวีงามๆ ที่วางขายกันในยุโรปราคาค่อนข้างแพง คนญี่ปุ่นก็ชอบกล้วยไม่แพ้ฝรั่ง ใครมีกล้วยติดบ้านให้กินทุกวันแสดงว่า บ้านนั้นฐานะดีมาก บางประเทศกินกล้วยเป็นอาหารหลัก เหมือนที่เรากินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว เช่น...ดร.Jean Carper นักโภชนาการชื่อดังได้ยืนยันประโยชน์ของกล้วยในเชิงสมุนไพรไว้ว่า กล้วยมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะได้ดี (Dyspepsia) หากกินกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ผู้ที่มีปัญหาจากกรดในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น และกล้วยยังมีฤทธิ์เหมือนยาปฏิชีวนะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ด้วย ใครที่มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ มีอาการโคกครากในท้อง ถ้าปล่อยไว้นานๆ โดยไม่หาทางแก้ไขจะกลายเป็นแผลในกระเพาะได้

อีกลักษณะคือ ปวดท้องใกล้กระบังลมบ่อยครั้ง มักจะปวดเวลาหิวมากๆ หรือปวดเมื่อกินอาหารอิ่มใหม่ เนื่องจากกระเพาะมีอาการอ่อนไหว รายงานจากแพทย์อินเดีย หมอให้ผู้ป่วยกินแคปซูลบรรจุกล้วยผงติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากอาการดังกล่าว

ผู้ที่รับประทานอาการผิดเวลาบ่อยๆ กรดในกระเพาะจะหลั่งออกมาแต่ไม่มีอาหารให้ย่อย มันก็จัดการทำร้ายผนังกระเพาะเข้าให้ นานวัน เมือก ที่คลุมปกป้องกระเพาะ ไว้จะเสื่อมสลายไปเหลือแต่ผนังกระเพาะแท้ๆ ที่ต้องผจญกับกรดเข้มข้นเมื่อโดนกรดย่อยอีกสักพักก็จะเกิดแผลเรียก Ulcer (อัลเซอร์)

โรงพยาบาลในฝรั่งเศสใช้กล้วยมาต้มเป็นโจ๊กให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะกินทุกวัน ปรากฏว่าผู้ป่วยหายจากโรคกระเพาะดีกว่าใช้ยารักษา

งานวิจัยในออสเตรเลียให้ สัตว์ทดลอง กินกล้วยผงเป็นประจำ ผลปรากฏคือผนังกระเพาะจะหนามากขึ้น กระเพาะทนกรดเข้มข้นได้มากกว่าปกติ ใครที่กินกล้วยเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย

ดร.Ralph Best มหาวิทยาลัยแอสตัน เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ อธิบายว่า กล้วยมีสารบางตัวช่วยกระตุ้นเซลล์ของกระเพาะอาหาร ทำให้เซลล์พวกนี้แบ่ง ตัวเติบโตได้อีกครั้ง เซลล์และเยื่อเมือกบุกระเพาะขยายมีปริมาณมากขึ้น กระเพาะแข็งแรงขึ้น แม้จะมีกรดหลั่งออกมา ผนังกระเพาะก็ไม่มีทางกระทบกระเทือน

ประโยชน์ของกล้วยยังมีอีกมากมาย ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ความดันโลหิตสูงปากขมเนื่องจากเป็นหวัด เบาหวาน ริดสีดวงทวาร ฯลฯ

อิซาเบลมักชวนใครต่อใครที่เธอรู้จักให้ กินกล้วย เป็นประจำ "กินกล้วยกันเถอะค่ะ"





กล้วยปิ้ง

กล้วยน้ำว้าดิบ หั่นขวาง เสียบไม้ ปิ้งเสี้ยงกันในงานปาร์ตี้เด็กวัยประถม จะทำกะทิรสเค็ม(น้ำตาลปีบ)ไว้จิ้มจุ่มก็เพิ่มรสชาติ


กล้วยหอมไม่เค็ม
กล้วยหอมตัดชิ้นพอคำ ไข่แดงเค็มตัดเป็นชิ้นนิดๆ วางข้างบน เสียบไม้จิ้ม กินเป็นคำๆ ในมื้อบ่าย สำหรับเด็กๆ วัยกินวัยนอน 





แพนเค้กกล้วยไข่
แป้งแพนเค้กสำเร็จรูป ผสมน้ำตามสูตรบนกล่อง บดกล้วยไข้สุกยีให้เข้ากัน จี่ในกระทะแบนทาน้ำมันให้หนูทำเองได้ สนุกดี


กล้วยหักมุกเผา
กล้วยหักดิบ จากสวน ซื้อได้ที่ตลาดแถวมหานาค บางซื่อ หรือแถวฝั่งธนนนทบุรี เผาบนเตาถ่าน ทำเองกินเอง อร่อยดีมีประโยชน์


ข้าวเม่า (กล้วยไข่)
ข้าวเหนียวข้าวเม่า บด ผัดกับมะพร้าวขูด ปรุงรสด้วยเกลือกับน้ำตาลปีบ หุ้มกล้วยไข่ห่ามๆ ทอดในน้ำมันท่วม สูตรนี้คุณแม่นำ คุณลูกตาม จะสนุกปลอดภัย



กล้วยหอมทอด

เลือกกล้วยหอมที่ยังไม่งอมมากจนเกินไป มาชุบแป้งทอดกรอบๆ กินคู่กับไอศกรีมรสที่ชอบ หรือจะราดน้ำผึ้งก็อร่อยไม่แพ้กัน







ที่มา : นิตยสาร Life & Family

หอมใหญ่

วันนี้จึงมีเมนูพิเศษสำหรับการนำหอมหัวใหญ่มาประกอบอาหารบำรุงรักษาหัวใจของท่านแบบถูกวิธีกันค่ะ


หอมใหญ่เพียงครึ่งหัว
ดร.วิคเตอร์ เกอร์วิช คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับหัวใจ และศาสตราจารย์แห่ง Harvard Medical School กล่าวว่า หัวหอมสดถือเป็นยาชั้นเลิศในการเพิ่ม HDL คอเลส เตอรอลชนิดดี หอมหัวใหญ่ครึ่งหัวหรือน้ำที่สกัดจากน้ำในหอมหัวใหญ่ปริมาณเดียวกันช่วยเพิ่ม HDL ได้ถึงร้อยละ 30 ในคนที่เป็นโรคหัวใจหรือมีปัญหาคอเลสเตอรอล

ความคิดบรรเจิดเกี่ยวกับหัวหอมนี้
คุณหมอได้จากการแพทย์แบบหมอชาวบ้าน และได้ทำการทดสอบกับคนไข้ที่คลินิก ซึ่งประสบความสำเร็จดีมาก จนคุณหมอแนะนำให้คนไข้ทั้งหมดรับประทานหัวหอม แต่ควรกินสด ๆ นะคะ เพราะหัวหอมยิ่งโดนความร้อนจากการปรุงมากเท่าไร พลังในการเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีก็ลดลงไปมากเท่านั้น แต่หัวหอมสุกก็ยังมีประโยชน์ต่อหัวใจในด้านอื่น ๆ นะคะ

คุณหมอเกอร์วิชยังไม่แน่ใจว่าสารอะไรในหัวหอมกันแน่ที่เพิ่ม HDL อาจมีสารเดียวหรือมีเป็นร้อยก็ได้ การรักษาด้วยหัวหอมของคุณหมอประสบความสำเร็จกับคนไข้ถึงร้อยละ 70 ค่ะ ถ้าคุณไม่สามารถกินหัวหอมได้ถึงครึ่งหัวต่อวัน ก็กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน กินน้อยก็ยังช่วยได้ หรือลองทำยำหรือลาบ โดยใส่หัวหอมสดซอยเยอะ ๆ ซิคะ ทั้งแซบทั้งดีกับหัวใจ


ลาบหอมหัวใหญ่ใส่เต้าหู้

ส่วนผสม
เห็ดหูหนูขาวแช่น้ำและสับหยาบ ๆ 1 ถ้วย
เต้าหู้ขาวชนิดแข็งยีละเอียด 1 ถ้วย
หอมใหญ่ซอย 1 ถ้วย
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย
ต้นหอมซอย 1 ถ้วย
ผักชีใบยาวซอย 1 ถ้วย
ใบสะระแหน่ 1 ถ้วย
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยเพื่อปรุงรส


วิธีทำ
1.นำข้าวกล้องมาคั่วไฟพอหอม แล้วใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด
2.นำเต้าหู้มายีโดยใช้ส้อม อย่าให้เละมาก ต้องยังเป็นชิ้น นำไปคั่วในกระทะ
ให้แห้ง ตักพักไว้
3.ลวกเห็ดหูหนูขาวที่หั่นแล้ว พอสุกตักใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
4.นำเต้าหู้และเห็ดหูหนูขาวมาคลุกรวมกัน ใส่หอมใหญ่และหอมแดงซอย
น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว พริกป่น ข้าวคั่ว ต้นหอมซอยและผักชี คลุกให้
เข้ากัน ชิมรสให้ถูกใจ ตักใส่จาน โรยด้วยใบสะระแหน่





ที่มา : ชลิดา เถาว์ชาลี ตันติพิภพ

น้ำเสาสวรส

เพราะการดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำทุกวันก็ยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ และรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ


"เสาวรส" หรือที่บางคนเรียกว่า กะทกรกฝรั่ง หรือจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Passion Fruit นั้น เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถวๆ ทวีปอเมริกา แต่ก็เติบโตได้ดีในประเทศไทย ผลมีลักษณะต่างกันไปตามพันธุ์ มีทั้งรูปกลม รูปไข่ แต่สำหรับเนื้อภายใน ก็มีหน้าตาคล้ายทับทิมบ้านเรานี่เอง

ชาติของเสาวรสนี้ก็ออกเปรี้ยว คนจึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ทั้งเป็นน้ำเสาวรสคั้นสด หรือเอามาผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆ อย่างน้ำส้ม สัปปะรด หรือแอปเปิ้ลก็ได้ และด้วยความเปรี้ยวนี้เองทำให้เสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินซี ใครที่เป็นหวัดเจ็บคออยู่ก็จิบน้ำเสาวรสเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ หรือใครที่ยังไม่เป็นหวัด วิตามินซีในเสาวรสก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้อีกต่างหาก และนอกจากวิตามินซีแล้ว เสาวรสก็ยังมีวิตามินเอ โดยเฉพาะสารแคโรทีนอยด์ จึงช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่งได้ด้วย


ประโยชน์ของเสาวรสยังไม่หมดแค่นั้น เพราะการดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำทุกวันก็ยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ และรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกต่างหาก ส่วนการบริโภคนั้นนอกจากจะดื่มเป็นน้ำผลไม้แล้ว ถ้าอยากจะกินผลสดๆ เลยก็สามารถทำได้เช่นกัน

เสาวรสเป็นไม้เลื้อย ที่ให้ผลมาก ในหน้าหนาว มีรสเปรี้ยวอุดมด้วย วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งทำหน้าที่ให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่สำคัญต่อร่างกาย จึงช่วยรักษาสุขภาพ และความสมดุลในระดับเซลล์ และยังให้เส้นใย ซึ่งมีผลดีต่อระบบขับถ่าย

ส่วนผสม
เสาวรส 8 ลูก
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง



วิธีทำ
1. ล้างเปลือกเสาวรสให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ใส่น้ำตาลทราย และน้ำสะอาดลงในหม้อ ตั้งไฟพอเดือด คนให้น้ำตาลละลายทั่วกัน ตั้งไฟอ่อนต่อไปอีก ประมาณ 3 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
2. ผ่าเสาวรส แล้วเทเนื้อลงเครื่องปั่น เติมเกลือป่น ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน

หมายเหตุ
เนื่องจากเสาวรสรสมีรสเปรี้ยว เวลาเสิร์ฟจึงต้อง ใส่น้ำเชื่อมลงคน ให้เข้ากัน ก่อนใส่น้ำแข็ง










ที่มา : รวบรวมหลายแหล่ง

บัวลอยน้ำขิงงาดำ

เมนูขนมร้อนๆเพื่อสุขภาพ ที่มีสารอาหารของน้ำขิงที่ช่วยขับลมเพื่อสุขภาพ และ งาดำที่ช่วยบำรุงสุขภาพเสริมแคลเซียมให้สุขภาพ วิธีการทำไม่ยากเหมาะกับสำหรับญาติผู้ใหญ่ได้รับประทานทั้งครอบครัวได้เลยค่ะ


ขนมบัวลอยน้ำขิง เป็นขนมที่มีมานานซึ่งปัจจุบันเริ่มมีขายกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น เพราะด้วยขนมที่เป็นสุขภาพ ทีน้ำขิงที่สามารถซดร้อนๆ เหมาะกับบรรยากาศหนาวๆได้ดีเลยล่ะคะ ขนมเพื่อสุขภาพที่มีสมุนไพรต่างๆนานา เหมาะกับสำหรับทำทานในครอบครัว ให้ญาติผู้ใหญ่ต้องชอบเป็นพิเศษแน่ๆ ลองมาดูวิธีการทำง่ายไม่ยุ่งยาก ช่วยกันทำทั้งครอบครัวได้กิจกรรมทำยามว่างที่ดีเลยทีเดียว มาเริ่มกันค่ะ

ส่วนประกอบ บัวลอยน้ำขิงงาดำ

แป้งข้าวเหนียว 3 ถ้วย
แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วย
น้ำสะอาด สำหรับผสมแป้ง (แม่ปันปรายใช้น้ำต้มสุก)
งาดำประมาณ 150 - 200 กรัม
น้ำตาลทรายขาวประมาณ 1 - 2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดงประมาณ 1 ถ้วย
น้ำตาลปิ๊ป 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงแก่ 1 แหง่งใหญ่
น้ำสะอาด สำหรับผสมแป้ง และ้ต้มน้ำขิง

วิธีทำ บัวลอยน้ำขิงงาดำ

เริ่มด้วยการต้มน้ำขิงก่อน แม่ปันปรายใช้ น้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร อาจจะเกินนิดหน่อย ต้มให้เดือดพร้อมกับทุบขิงแก่ลงไปด้วยเติมน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลทรายขาวลงไป แล้วรอให้เดือด ใครชอบหวานมากน้อย ก็จัดกันไปค่ะ


เมื่อต้มน้ำขิงเสร็จแล้ว ก็ให้พักไว้ก่อนคั่วงาดำ แล้วป่นให้ละเอียดด้วยเครื่องปั่น หรือจะตำเอาแบบก็ได้ (สะดวกดีแต่ไม่ละเอียดมาก)
ตั้งกระทะ ใส่น้ำตาลปิ๊ปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วเติมน้ำลงไปนิดหน่อย รอให้น้ำตาลเหนียว ให้ใส่งาดำที่คั่วแล้วลงไป ใส่น้ำตาลทรายตามไปด้วยประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ (รสหวานตามชอบ)ค่อยๆคน ใช้ไฟอ่อน เห็นว่าเหนียวดีแล้วพักไว้ นำไปเข้าตู้เย็น ประมาณ ครึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้สามารถปั้นงาเป็นเม็ดกลมๆได้ง่าย



ระหว่างที่รองาดำในตู้เย็น เราก็มาเริ่มผสมแป้งกัน โดยผสมแป้งข้าวจ้าว และแป้งข้าวเหนียว เข้าด้วยกัน อัตราส่วน แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วย แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วย แล้วค่อยๆ เติมน้ำสะอาด ลงไปผสมแป้งกับน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ ขนาดประมาณ ลูกปิงปอง


หลังจากที่ปั้นงาดำเรียบร้อย ให้แผ่แป้งออก แล้วใส่งาดำลงไปตรงกลางเพื่อเป็นไส้ แล้วปั้นปิดให้สวยงาม



มาถึงขั้นตอนการลวกบัวลอย ให้ลวกบัวลอยกับน้ำเดือด รอจนแป้งลอยขึ้น แล้วตักแช่น้ำเย็นไว้


เมื่อเสร็จแล้ว นำใส่ถ้วยแล้วเติมน้ำขิงร้อนๆ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ


ลองทำกันดูค่ะ รับรองไม่ยากหรอกค่ะ ทำเองประหยัด สามารถควบคุมคุณภาพได้อีกด้วย ใครมีญาติผู้ใหญ่ก็เบาๆรสหวาน ยิ่งหน้าหนาวได้ซดน้ำขิงร้อนๆ ได้กินบัวลอยอร่อยๆ ก็สดชื่นยิ่งขึ้นค่ะ






ที่มา : ขอบคุณรูปภาพ+ บทความ pun-prai@exteen // ขอบคุณรูปภาพจาก : โชคดีติ่มซำ

ส้ม

ส้ม..เป็นผลไม้ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น อิ่มอุดมสมบูรณ์ ดังที่ชาวจีนนิยมนำไปอวยพร กันในวันปีใหม่


เราใช้คำว่า 'ส้มหล่น' เวลาที่ได้รับสิ่งดีๆ โดยที่ไม่คาดฝัน แต่ถ้าใส่คำว่า 'ส้ม' ต่อท้ายชื่ออาหารไทยเมื่อไหร่ เช่น แกงส้ม ต้มส้ม ส้มตำเป็นอันรู้ว่า อาหารชื่อนั้นมีรสเปรี้ยว ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะต้องมีส้มเป็นส่วนผสมแต่อย่างไร

ส้มเป็นพืชตระกูล Citrus ที่เจริญงอกงามในเขตร้อนชื้น สายพันธุ์ส่วนใหญ่มาจากจีน มีหลักฐานว่าปลูกกันมากว่าสี่พันปี และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ต่อมาจึงมีผู้นำพันธุ์ไปปลูกในอเมริกา (แถบฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย)

วงศาคณาญาติเขามีมากมาย แบ่งเป็น ส้มหวาน Sweet Orange (Citrus Sinensis) นัยว่าเป็นยอดนิยมในหมู่ส้มทั้งมวล ต้นกำเนิดจากจีน ใช้น้ำผสมซอส ทำสลัด ตกแต่งอาหาร Grape Fruit (ชื่อทางวิชาการ Citrus Paradisi) ขนาดผลค่อนข้างใหญ่ มีน้ำมาก ลักษณะเปลือกนอกสีเหลืองนวล ผลกลมเกลี้ยง ส่วนสีขาวที่ห่อหุ้มผลส้มภายในเปลือกค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับส้มเขียวหวาน เหมาะสำหรับคั้นผสมเครื่องดื่ม เสิร์ฟเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยในมื้อเช้าเพื่อกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร

ส่วนส้มในบ้านเรานั้นเป็นพันธุ์ส้มเขียวหวาน ลักษะเปลือกบาง ปอกง่าย ชานนุ่ม (มีหลายเผ่าพันธุ์สีผิวต่างกันไปเช่น ส้ม Mandarin ส้มTangerine ส้ม Citrus Reticulata) แต่ก่อนบ้านเราะคุ้นเคยกับส้มเขียวหวานบางมด ปัจจุบันนี้เรามีพันธุ์ใหม่ๆ อร่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น ส้มสีทอง ส้มสายน้ำผึ้ง จากฝาง เชียงใหม่ ส้มโชกุนจากทางใต้ ส้มฟรีมองต์ ฯลฯ บางพันธุ์ เช่น (Clementine) นี่พัฒนาจนถึงได้น้ำเข้มข้น เปลือกปอกง่าย และไม่มีเมล็ด

ส้มบางพันธุ์ เช่น KumQuat ผลกลมรีสีส้มสดขนาดใหญ่กว่าหัวแม่โป้งเล็กน้อยนั้น รับประทานสดๆ ได้ทั้งเปลือก แต่นิยมเอาไปแช่อิ่ม หรือดองเค็มตากแห้ง ดังที่เราเรียกกันว่า ส้มกิมจ๊อ นอกจากนี้ยังส้มโอ ซึ่งแตกสายพันธุ์ไปได้อีกตอนหนึ่ง มะนาว มะกรูด ก็นับเป็นญาติในตระกูล Citrus ด้วยเหมือนกัน


ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ส้มผลเดียวมีวิตามินซี 69.7 ม.ก. มะนาวมี 46 ม.ก.: 1 กรัม (ใครเล่าจะกินมะนาวเข้าไปทั้งลูกเหมือนกินส้ม) สตรอเบอรี่มี 84.5 ม.ก.(นับเป็นปริมาณต่อหนึ่งถ้วยตวงหรอก) ส่วนฝรั่งลูกเดียวนั้น มีปริมาณวิตามินซีถึง 120 มิลลิกรัม (แต่ฝรั่งลูกโตกว่าส้มนี่)

  เขียนไปก็เท่านั้น มาดูกันว่ากินส้มเข้าไปแล้วดีอย่างไรดีกว่า เพราะส้มเป็นแหล่งของวิตามินซี แล้ววิตามินซีนี้มีประโยชน์มาก แล้วยังมีเกลือแร่ วิตามินอื่นที่มีคุณค่าต่อร่างกายอีกหลายชนิด วิตามินซีมีผลดีสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหวัด โรคภูมิแพ้ เป็นแผลติดเชื้อง่าย (ภาษากันเองๆ ก็คือพวกตื่นมาไม่จามก็คัดจมูกน้ำมูกไหลมีเสมหะ ให้กระแอมจนติดเป็นนิสัย เจ็บคอ เป็นแผลในปากบ่อยๆ..อย่างนี้ค่อยเห็นภาพไหม) ภาษาชาวบ้านชอบว่าอาการข้างบนว่า...น้ำเหลืองไม่ดี..

ซึ่งถ้าสังเกต จะเห็นว่าคนเครียดง่ายๆก็มักมีอาการดังนี้เสมอ ค้นไปค้นมาจึงพบว่าความเครียด..ทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินทั้งหลายแหล่ออกมาได้ไม่เต็มที่ วิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว และแอนตี้บอดี้ เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานการแพ้จากธรรมชาติและสารพิษ..

เป็นหนึ่งในวิตามินที่ต้านทานอนุมูลอิสระ สาเหตุของการเสื่อมของเซล เช่น ต้อกระจก หลอดลมอุดตัน ไขข้อ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง.. (ในวงการความงามเขาสรุปว่า แก้แก่หง่อม)

จำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื้อ กระดูก ฟัน มีส่วนในการสังเคราะห์คอลลาเจน ตัวที่ทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่นและกระชับ ป้องกันการเปราะบางของเส้นเลือดฝอย ทำให้แผลหายเร็ว ป้องกันเส้นเลือดขอด...

รักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ลดคอเลสเตอรอล เขียนเหมือนท่องจำมาอย่างนี้ดูไกลตัวพอๆ กับที่เคยท่องจำว่ารักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน..

แล้วเป็นไงเล่า เข้าทำนองไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ..พอร่องแก้มลึก ตีนกาโผล่ ปวดข้อเข่า หรือเห็นญาติผู้ใหญ่เข้าโรงพยาบาลเพราะเส้นเลือดฝอยแตก..เผอิญเป็นเส้นเลือดฝอยที่ว่านั้นมักจะเป็นตรงสมองเสียด้วยก็หลายราย ซึ่งควบคุมการทำงานทั้งหมดในร่างกายทำให้เกิดอาการอัมพฤกต์ อัมพาต ความจำเสื่อมตามมา ..

ทีนี้เรื่องฝอยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เชียวละ รีบเปิดตำราปรึกษาหมอกันวุ่น ทำไงถึงจะไม่แตกซ้ำ ทำอย่างไรถึงจะป้องกันได้ รีบออกกำลังกาย รับประทานผักผลไม้ ลดเกลือเพื่อลดความดันกันใหญ่ ..

แต่ว่าไม่รู้ว่าจะเป็นได้สักกี่น้ำ..เพราะในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมือง เรื่องกินเอาคุณค่านั้นกลายเป็นเรื่องรองลงมา ปัญหาอยู่ที่จะหาอะไรกิน จะหากินอะไรมากกว่า ประมาทพลาดเผลอไปแป๊บเดียว คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ความดัน น้ำตาล..เกิน

วิตามินเกลือแร่ธาตุเหล็ก..ขาด.. ว่าแล้วก็วิ่งไปซื้อวิตามินสำเร็จรูปมากินดีกว่า ..ก็ได้..แต่ถ้าไปซื้อในรูปแบบกรดแอสคอบิครสเปรี้ยวอมอร่อย จะมีความเป็นกรดสูงระคายกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดนิ่วทางเดินปัสสาวะ (ควรเลือกประเภทที่เขาเรียกว่าไบโอซี เพราะมีส่วนประกอบของวิตะมินซีตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่เพราะคงอยู่ในร่างกายได้ดี ไม่ถูกขับออกอย่างรวดเร็วเกินไป(เพราะถ้าร่างกายเก็บไม่ได้ภาษาจิกกะริณี หมายถึง จิ๊กกี๋หรือจิ๊กโก๋ผู้หญิง เขาว่าปัสสาวะทีก็หมดแล้ว)

แต่จะดีที่สุด ถ้ารับประทานในรูปของธรรมชาติที่มีอยู่ในผักผลไม้ (และส้ม)..สด เพราะจะได้ประโยชน์จากกากอาหารที่จะช่วยการทำงานของลำไส้ ที่สำคัญคือ ควรปรุงและรับประทานให้ถูกวิธี เพราะว่าวิตามินซีจะสูญสลายเมื่อถูกความร้อน น้ำ แสงแดด ประเภทปอกหั่น แช่น้ำตากแดดตากลม เอาไปต้มเคี่ยวนี่คงเหลือแต่กากแน่

ว่าจะเขียนเรื่องส้มแต่ไหงไปลงวิตามินซี..อย่างที่ว่าละ..พอนึกถึงส้มให้นึกไปถึงวิตามินซีทุกทีสิ...

เมนูส้ม

1.วุ้นส้ม ใช้น้ำส้มแท็งค์ทำวุ้นใสๆ แช่เย็นไว้อร่อยยามบ่าย
2.ไอศกรีมส้มแบบอิตาเลียน แช่น้ำส้มแท็งค์จนเย็นจัด แล้วใช้มือกวนปั่นในถังทำไอติมให้แข็งแต่ยัง
เป็นเกล็ด
3.แพนเค้กกลิ่นส้ม หยอดน้ำส้มแท็งค์เข้มข้นลงในแป้งแพนเค้กเล็กน้อย จะได้รสเปรี้ยวอ่อนแปลกลิ้น
4.หวานเย็นส้ม ไสน้ำแข็งแล้วราดด้วยน้ำส้มแท็งค์เข้มข้น โรยหน้าด้วยองุ่นดำ
5.ฟรุตสลัดเกล็ดส้ม ละลายน้ำส้มแท็งค์ หั่นสับปะรด แอปเปิ้ล มะละกอใส่จนเต็ม แช่เย็นเป็นเกล็ด
6.ส้มซ่า ใช้โซดาชงน้ำส้มแท็งค์
7.ส้มเปรี้ยวมะนาวหวาน ชงน้ำส้มแท็งค์ เทใส่ถาดน้ำแข็ง พอแข็งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แกะออก
ใส่ถ้วยทรงสูง เติมน้ำมะนาวชงออกรสหวานใส่ เสิร์ฟได้ตลอดวันที่ต้องการความสดชื่น




ที่มา : www.momypedia.com

ช็อกโกแลต



วันวาเลนไทน์ใกล้ถึงแล้ว คู่รักหลายๆคู่ คงเตรียมตัวหาซื้อของขวัญที่จะแอบเซอร์ไพร์ส ถ้าคิดไม่ออก เราขอเสนอ ช็อกโกแลต ค่ะ (ของขวัญสุดฮิต ดั้งเดิม) จริงๆ แล้วช็อกโกแลตไม่เพียงฮิตเฉพาะช่วงวาเลนไทน์เท่านั้นนะคะ แต่ช็อกโกแลตเป็นของอร่อยขั้นเทพ ที่คนทั่วโลกนิยมรับประทานกันเป็นประจำมานานนับศตวรรษแล้ว เมื่อก่อนช็อกโกแลตเป็นของกินแสนอร่อยที่ถูกกล่าวขานถึงในทางลบมานาน เพราะให้พลังงานสูงและเป็นส่วนหนึ่งของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ที่ทำลายสุขภาพต่าง ๆ นั่นก็เพราะส่วนผสมต่างๆ ที่อยู่ในช็อกโกแลตต่างหากที่เป็นตัวการ ได้แก่ เนย นมและน้ำตาล แต่ละตัวล้วนทำลายสุขภาพทั้งนั้นค่ะ เพราะจะทำให้เราอ้วนแน่ๆ แต่หากคุณเป็นคนรักสุขภาพ รักช็อกโกแลตชนิดที่ขาดกันไม่ได้ ก็ควรเลือกรับประทานชนิดที่มีส่วนผสมต่างๆ ดังกล่าวในปริมาณต่ำลงมา ขอแนะนำ Dark chocolate เพราะจะมีปริมาณโกโก้มากที่สุด และมีน้ำตาลน้อยกว่าปกติ

เนื่องจากข้อดีของช็อกโกแลตนั้น ก็มีอยู่ในผงโกโก้นั่นเอง เพราะผงโกโก้มีผลต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีนักวิจัยหลายสถาบันในโลกตะวันตกค้นพบว่าใน โกโก้นั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์อยู่ คือสารโปรไซยานิดินส์ (Procyanidins) เหมือนที่มีในเมล็ดองุ่นและข้าวหอมมะลิ ซึ่งสารโปรไซยานิดินส์นี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยมที่มีประสิทธิภาพเหนือกกว่าวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนหลายเท่า มีคุณสมบัติสามารถช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ และสมอง บรรเทาโรคเบาหวาน ช่วยบำรุงสายตาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นเวลามองตอนกลางคืน ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ดังนั้นสารชนิดนี้ในช็อกโกแลตจึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเส้นเลือกสมองได้

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่ารับประทานช็อกโกแลตแท่งไหนๆ ก็ได้รับสารตัวนี้เท่ากัน เพราะการที่จะได้รับประโยชน์จากสารโปรไซยานิดินส์นี้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกช็อกโกแลตชนิดที่มีปริมาณเปอร์เซนต์ของโกโก้ผสมอยู่แค่ไหน เพราะยิ่งมีปริมาณโกโก้สูงคุณก็จะได้รับสารโปรไซยานิดินส์มากกว่าชนิดที่ผสมผงโกโก้ปริมาณน้อยนั่นเอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือซื้อโกโก้ผงมาชงช็อโกแลตดื่มเองที่บ้านโดยลดการใส่น้ำตาลและนมให้น้อยหน่อยก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยค่ะ




ที่มา : ืgoodfoodgoodlife

พริก


พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอลจากงานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่าสารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่

กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซิน จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ





ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/30522